Extreme

สมาชิกวง Extreme

Gary Cherone (Lead Vocals)

Nuno Bettencourt (Guitar)

Pat Badger (Bass)

Kevin Figueiredo (Drums)

        Extreme กลับมาพร้อมกับอัลบัมชุดแรกในรอบ 13 ปี Saudades de Rock  (ออกเสียงว่า “sow-dodge”) เป็นอัลบัมชั้นเยี่ยมที่ตอกย้ำสถานะของวงสี่ชิ้นจากบอสตันที่มีแฟนเพลงอยู่ทั่วโลก ในฐานะของยอดนักสร้างสรรค์แห่งโลกร็อคแอนด์โรล 

ด้วยฝีมือในการแต่งเพลงที่ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคยและสไตล์ดนตรีอันหลากหลายที่ทำให้ทางวงผลิตอัลบัมขายดีออกมาหลายต่อหลายชุด รวมทั้งเพลงฮิตติดชาร์ต และทัวร์รอบโลก สตูดิโออัลบัมชุดที่ห้าของ Extreme อาจจะเป็นงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพวกเขา – นักร้องนำ แกรี เชอโรน, มือกีตาร์ นูโน เบตเตนคอร์ต, มือเบส แพต แบดเจอร์ และมือกลอง เควิน ฟิเกเรโด

“อัลบัมเป็นสิ่งที่ทำให้วงมีชีวิตขึ้นมา” เบตเตนคอร์ตพูด พวกเขาทำการบันทึกเสียงอัลบัมของ Extreme ชุดใหม่นี้ที่ NRG Studios ในแอลเอ และเบตเตนคอร์ตก็รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์และมิกเซอร์ของอัลบัมนี้เองด้วย “สำหรับแฟนๆ มันก็ประมาณว่า ‘แสดงให้พวกเราดูสิว่าพวกนายยังเจ๋งอยู่หรือเปล่า’ และเราก็ทำได้ตามนั้น ผมคิดจริงๆ ว่านี่เป็นอัลบัมที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยทำกันมา”

ทั้งเพลงที่มันสะใจจนอยู่เฉยไม่ได้ (“King Of The Ladies”) , ฟังก์เมตัลดิบๆ (“Learn To Love”) , บัลลาดกระชากใจ (“Interface”) และเพลงที่เด่นด้วยเปียโน (“Ghost”) Saudades de Rock คือก้าวต่อมาที่สมบูรณ์แบบ ทั้งทะเยอทะยานและเปี่ยมอารมณ์ พร้อมกับกระตุ้นความคิดไปด้วย 

เริ่มต้นด้วยเพลงสุดติดหู “Star” ที่เสียงร้องของเชอโรนแผดโชว์พลังได้อย่างเต็มที่ ก่อนจะเปิดทางให้กับท่อนฮุกชั้นเยี่ยมและเนื้อเพลงเกี่ยวกับดาวดังที่ตกต่ำ ขณะที่เพลงร็อคสุดมัน “King” ก็กระแทกกระทั้นด้วยท่อนคอรัสที่จะติดหูไปอีกนาน “มันเป็นเพลงที่ทำขึ้นมาสำหรับฟังตอนขับรถเล่นแบบเปิดประทุนน่ะ” เบตเตนคอร์ตยืนยัน

ถ้าหากการทำงานของ Extreme ดูจะเข้าขากันอย่างน่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอัลบัมด้วยกันมากว่าสิบปี มันก็เป็นเพราะเบตเตนคอร์ตกับเชอโรนยังคงติดต่อกันอยู่เสมอในช่วงที่แยกวงกันไป แล้วในปี 2004 การแสดงรียูเนียนที่บ้านเกิดหลายๆ รอบก็กลายเป็นตัวกระตุ้นให้ทางวงกลับมารวมตัวกันอย่างเป็นทางการในที่สุด เมื่อทั้งสองมานั่งแต่งเพลงด้วยกันสำหรับ Saudades de Rock ตอนปลายปี 2007 ความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมาอย่างเต็มที่ นูโนกล่าวว่า “เราเข้าขากันมาตั้งแต่วันแรก ซึ่งเราก็กะไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนั้น” 

เชอโรนเองก็ปลื้มไม่แพ้กัน “ผมพยายามไล่ตามนูโนให้ทันมาตลอดเลยนะ เราแต่งเพลงกันออกมามากเกินไปด้วยซ้ำ! เราแต่งกันออกมาวันละหนึ่งหรือสองเพลง แล้วเราก็ได้ออกมา 23 หรือ 24 เพลงจากการนั่งแต่งเพลงด้วยกันสองอาทิตย์น่ะ”

“เรารู้ภายในหนึ่งชั่วโมงที่แกรีกับผมกลับมานั่งแต่งเพลงด้วยกัน ว่าเรายังมีอะไรเจ๋งๆ ที่จะแสดงออกมาอีกเยอะ” เบตเตนคอร์ตพูด “แม้ว่าจะมีวงเยี่ยมๆ อยู่มากมาย ตั้งแต่ Muse ไปจนถึง the Raconteurs เราก็รู้สึกว่ามันยังมีช่องว่างอยู่ในโลกร็อคแอนด์โรล”

ช่องว่างที่ว่านั้นถูกถมด้วยริฟฟ์อันเร่าร้อนสไตล์ Zeppelin และริธึมทรงพลังที่ช่วยยกระดับ “Slide” ขึ้นมาเป็นงานเพลงร็อคสุดยิ่งใหญ่ ส่วนเพลงร็อคบลูส์ที่เร่าร้อนไม่แพ้กัน “Last Hour” นั้น นูโนอธิบายถึงแนวดนตรีของมันไว้ว่า “เพลงแบบที่คุณได้ฟังในยุค 1960s มันทำให้ผมนึกถึง ‘House of the Rising Sun’ แต่เฮฟวีกว่านั้น”

เบตเตนคอร์ตยังบอกอีกด้วยว่าเพลงนี้เป็น “โชว์เดี่ยวของแกรี” และยืนยันว่า “เขาร้องได้โน้ตที่สูงมากๆ เลยละ” ขณะที่สองบทเพลงที่โดดเด่นด้วยเปียโน “Peace” ที่ได้อิทธิพลมาจากจอห์น เลนนอน และ “Ghost” เพลงที่เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศ ก็แสดงถึงสไตล์อันหลากหลายของ Extreme ได้เป็นอย่างดี

“เรามักจะมีหนึ่งหรือสองเพลงที่ผมจะนั่งลงที่เปียโนกับแกรี” นูโนพูดถึง “Ghost” “แต่เราอยากทำให้เพลงมันคึกคัมากยิ่งขึ้นน่ะ” อีกเพลงหนึ่งที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันคือ “Take Us Alive” ที่เล่นในสไตล์คันทรีบลูส์ ซึ่งแกรีโชว์เสียงร้องได้อย่างเหนือชั้น บวกกับฝีมือกีตาร์อันยอดเยี่ยมของนูโน

“เรามักจะมีเพลงแบบ ‘หักมุม’ อยู่เสมอ” นูโนพูด ซึ่งวิธีการนี้ จิมมี เพจ กับรอเบิร์ต แพลนต์ ใช้กันมานานแล้ว นูโนเองก็ยอมรับว่า Extreme นั้นแสดงความเคารพต่อฮีโรของพวกเขาอย่างชัดเจน  

“เราไม่เคยมีปัญหาในการแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทางดนตรีของพวกเรา ผมไม่สนหรอกว่ามันจะเป็น Zeppelin, the Beatles, Nirvana หรือ Prince คุณต้องตื่นขึ้นมา คว้ากีตาร์มาสะพาย แต่งเพลง แล้วก็บันทึกเสียงมันออกมาโดยไม่ได้รับอิทธิพลจากดนตรีที่อยู่รอบตัวคุณ ถ้าย้อนกลับไปตอนที่เราเริ่มต้น เราคิดอยู่เสมอว่า Zeppelin กับ the Beatles นั้นเป็นวงดนตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก และถ้าหากเราสามารถทำงานที่อยู่ระหว่างกลางของสองวงนี้ได้ เราก็น่าจะทำมันออกมาได้ถูกต้องแล้วละ”

จากความคลั่งไคล้ของคอเพลงร็อคและสาวกของวงที่ติดตามพวกเขามาตั้งแต่อัลบัมชุดแรก การทัวร์รอบโลก 2008 ‘Take Us Alive’ ของ Extreme (พร้อมวงเปิด Kings X และ Rock ‘n’ Roll Fantasy Camp ในบางรอบ) จึงไม่มีทางจะล้มเหลวได้เลย พวกเขาพร้อมที่จะบรรเลงเพลงจากอัลบัมใหม่และเก่า ตั้งแต่ Pornograffitti อันลือลั่นในปี 1990 และ III Sides to Every Story ในปี 1992 สมาชิกของ Extreme ล้วนตื่นเต้นที่จะได้ออกทัวร์กันอีกครั้ง

“ไม่ว่าเราจะสนุกกับการบันทึกเสียงมากขนาดไหน สำหรับผมแล้ว ผมรักการแสดงสดต่อหน้าแฟนๆ อยู่เสมอ” เชอโรนพูด “เราอดใจไม่ไหวแล้วที่จะออกไปแสดงดนตรีของเราสดๆ” เบตเตนคอร์ตนั้นตั้งใจที่จะไม่ใช้วิธีการตามปกติของสตูดิโอบันทึกเสียง เขาไม่ใช้ลูกเล่นของคอมพิวเตอร์และการแต่งเสียงที่ใช้กันเป็นปกติในซอฟต์แวร์ Auto-Tune 

“เราไม่ใช้อะไรพวกนั้นเลย” นูโนอธิบาย “อะไรๆ อาจจะซับซ้อนมากๆ ได้ในสตูดิโอถ้าคุณไปยอมตามมัน นั่นเป็นสาเหตุที่เราอยากทำอัลบัมนี้ให้เป็นเหมือนการแสดงสดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพลงเหล่านี้จึงนำไปเล่นบนเวทีได้ง่าย เราตั้งตารอที่จะไปออกทัวร์และแสดงกันอย่างสุดฝีมือ นั่นคือช่วงเวลาที่วงเราจะปล่อยของกันอย่างเต็มที่”

และสำหรับคนที่ยังคงโหยหาการประสานเสียงอันเหนือชั้นของเชอโรนและเบตเตนคอร์ต อย่างในเพลงฮิตติดชาร์ต “More Than Words” และ “Hole Hearted” ในอัลบัมล่าสุดนี้ก็มีเพลง “Interface” ซึ่งนำเอาสูตรที่ว่านี้มาทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

Saudades de Rock แสดงให้เห็นว่าสมาชิกของ Extreme นั้นตื่นเต้นที่ได้กลับมารวมวงกันและปล่อยฝีมือกันอยางเต็มที่ เวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้ฝีมือของพวกเขาถดถอยลงเลย “เราใช้เวลาแป๊บเดียวเท่านั้นในการยืนยันกับตัวเองว่าเรามีความสามารถกันขนาดไหน” เชอโรนคุย “เรารู้มาตลอดว่า Extreme นั้นพิเศษสุด เรารู้มาตลอดว่ามันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นเอง”

นั่นคือความคิดที่นำไปสู่ชื่ออัลบัมใหม่นี้ “’Saudades’ เป็นคำที่งดงามมาตลอดสำหรับ” นูโนอธิบาย “มันหมายถึงความรู้สึกโหยหา ความเศร้าที่แฝงอยู่ที่มีต่อบางสิ่งหรือบางคนที่ขาดหายไปจากชีวิตของเรา และก็ไม่รู้ด้วยว่ามันจะกลับมาอีกหรือไม่ แล้วในกรณีนี้ สำหรับเราแล้ว มันคือร็อคแอนด์โรล Saudades de Rock”

แกรีพูดสรุปว่า “ผมชอบตรงที่มันสื่อถึงความโหยหาที่เรามีต่อการเล่นดนตรีต่อหน้าแฟนๆ และการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งน่ะ” 

จนถึงตอนนี้ วงที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ EXTREME ออกอัลบัมมาแล้วสี่ชุด บวกกับอัลบัมรวมฮิต พวกเขามียอดขายอัลบัมทั่วโลกสูงกว่า 10 ล้านแผ่น นอกจากการทัวร์รอบโลกหลายต่อหลายครั้งแล้ว พวกเขายังมีเพลงฮิตอันดับหนึ่ง “More Than Words” — จากอัลบัมขายดีในปี 1990 Extreme II: Pornograffitti— บนชาร์ตบิลบอร์ด Hot 100 และตามมาด้วยเพลงระดับท็อป 5 “Hole Hearted” แม้ว่าสองเพลงอะคูสติกนี้จะทำให้ทางวงประสบความสำเร็จในระดับเมนสตรีม แต่มันก็บดบังซาวน์ดที่เป็นเอกลักษณ์ของวงไป ได้แก่ฮาร์ดร็อคฟังก์ที่ได้อิทธิพลมาจาก Led Zeppelin, Aerosmith, Queen และ Van Halen—ที่โดดเด่นด้วยฝีมือกีตาร์ของเบตเตนคอร์ตและเสียงร้องอันทรงพลังของเชอโรน บวกกับเนื้อเพลงที่วิพากษ์สังคมได้อย่างจัดจ้าน ไฮไลต์ในเส้นทางของพวกเขาคือตอนที่ไบรอัน เมย์ แห่งวง Queen ขอให้พวกเขามาร่วมแสดงในคอนเสิร์ตไว้อาลัยแก่เหรดดี เมอคิวรี ในปี 1992 ซึ่งทำให้ทางวงเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง นอกเหนือไปจากแวดวงฮาร์ดร็อค